โรงพยาบาลธนบุรี

โรค NPH หรือน้ำเกินในโพรงสมอง

 

โรค NPH หรือ โรคภาวะน้ำเกินในโพรงสมอง

เชื่อว่าทุกคนคงเคยเห็นผู้สูงอายุเดินผิดปกติ หรือเดินไม่ได้ ส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของสังขารที่เสื่อมลงตามวัย แต่ในข้อเท็จจริงนั้นผู้สูงอายุบางคนที่เดินไม่ได้ อันเนื่องมาจากเจ็บป่วยเป็นโรคที่ทำให้เดินไม่ได้ ซึ่งโรคหนึ่ง ที่พบได้บ่อยและสามารถรักษาให้กลับมาเดินได้ดีอีกครั้ง คือ โรคน้ำเกินในโพรงสมอง

โรคภาวะน้ำเกินในโพรงสมอง (Normal pressure hydrocephalus) หรือที่เรียกสั้นๆว่า NPH

 

NPH คืออะไร ?
มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า สมองของมนุษย์นั้นไม่ใช่ก้อนเนื้อตัน แต่มีโพรงน้ำอยู่ภายใน น้ำดังกล่าว คือ น้ำหล่อสมองและไขสันหลัง ซึ่งในที่นี้จะเรียกสั้นๆว่า “น้ำ” น้ำดังกล่าวจะทำหน้าที่ดูดซับแรงกระเทือน และถ่ายเทสารเคมีหลายอย่าง แต่ในสภาวะที่การดูดซึมของน้ำผิดปกติไป ก็จะมีน้ำคั่ง ดันโพรงสมองให้โตผิดปกติ และเกิดภาวะน้ำเกินในโพรงสมอง

 

NPH มีอาการอย่างไร ?
โรคนี้มักจะเป็นในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยจะมีอาการเดินผิดปกติ เช่น.-
• เดินช้า ก้าวขาไม่ออก
• ยกขาไม่พ้นจากพื้น (เหมือนมีแม่เหล็กดูด)
• เดินซอยเท้า
• ทรงตัวไม่ดี ล้มบ่อย
คนไข้บางคนมาโรงพยาบาลด้วยเรื่องล้มบ่อยๆ โดยไม่รู้ว่ามีโรคนี้แอบแฝงอยู่ การเดินจะแย่ลงช้าๆ จนอาจจะเดินไม่ได้เลยในท้ายที่สุด
นอกจากเรื่องเดินผิดปกติแล้ว ผู้ป่วยอาจจะมีปัญหาสมองเสื่อม ญาติอาจจะสังเกตว่าคนไข้จะมีอาการ หรือพฤติกรรม
• คิดช้า เฉื่อยชาไม่ค่อยสนใจ
• ความจำที่แย่ลง หลงลืม
• พูดน้อยลง ตอบสนองช้า
• นอนมาก
• ในระยะท้ายผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาปัสสาวะราด โดยอาจจะปัสสาวะออกมาโดยไม่บอก หรือ ปัสสาวะราดออกมาโดยเข้าห้องน้ำไม่ทัน

 

จะรู้ได้อย่างไร ? ว่าเป็น NPH หรือมีภาวะน้ำเกินในโพรงสมอง
ผู้สูงอายุที่มีปัญหาการเดินร่วมกับสติปัญญาลดลง หรือ ปัสสาวะราด คือผู้ที่เข้าข่ายน่าสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ ควรได้รับการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง(CT Scan) หรือ แม่เหล็กไฟฟ้าสมอง(MRI) ซึ่งถ้าแพทย์พบว่าขนาดของโพรงสมองจากการตรวจดังกล่าวโตผิดปกติ จะถือว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคนี้ และจะแนะนำให้ทำการตรวจเพิ่มเติม หรือ ทำการรักษาต่อไป

 

NPH หรือโรคน้ำเกินในโพรงสมองรักษาอย่างไร ?
โรคน้ำเกินในโพรงสมองนั้น มีหนทางรักษาคือ การผ่าตัดฝังท่อระบายน้ำ โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นการผ่าตัดฝังท่อระบายน้ำจากโพรงสมองเข้าสู่ช่องท้อง หรือ ผ่าตัดฝังท่อระบายน้ำจากช่องไขสันหลังเข้าสู่ช่องท้อง แพทย์จะแนะนำวิธีที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยและครอบครัว

 

การผ่าตัดฝังท่อระบายน้ำมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ?
• โดยทั่วไปการผ่าตัดฝังท่อระบายน้ำเข้าสู่ช่องท้องนี้ เป็นการผ่าตัดที่มีบาดแผลเล็ก เกือบจะไม่มีการสูญเสียเลือดและใช้เวลาผ่าตัดน้อยกว่า 1 ชั่วโมง ดังนั้นจึงเป็นการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงต่ำ
• โดยเฉพาะกรณีผ่าตัดชนิดฝังท่อจากไขสันหลังเข้าสู่ช่องท้อง จะมีความเสี่ยงต่ำมาก เนื่องจากไม่ต้องทำการเจาะบริเวณสมอง
• ความเสี่ยงจากการผ่าตัดมักไม่ใช่ความเสี่ยงของการผ่าตัดโดยตรง แต่มักเป็นความเสี่ยงอันเนื่องจากการมีโรคต่างๆของผู้สูงอายุ เช่น ผู้ป่วยสูงอายุบางรายมีโรคหัวใจร่วมด้วย ก็จะทำให้มีความเสี่ยงต่อการผ่าตัดเพิ่มขึ้น

 

หลังจากผ่าตัดแล้ว ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ?
ผู้ป่วยมักจะนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลหลังผ่าตัดเพียงชั่วระยะเวลาไม่กี่วันเท่านั้นและแพทย์จะนัดมาทำการตัดไหมในภายหลัง ท่อระบายน้ำที่ฝังอยู่ในร่างกาย มีให้เลือกอยู่ 2 ประเภท คือ
1. ชนิดที่ปรับแรงดันไม่ได้
2. ชนิดที่ปรับแรงดันได้ ท่อชนิดที่ปรับแรงดันได้มีข้อดีคือ ถ้าการระบายน้ำมากเกินไป หรือ น้อยเกินไป แพทย์สามารถที่จะปรับเปลี่ยนการระบายน้ำได้โดยใช้อุปกรณ์แม่เหล็กไร้สายจากภายนอกร่างกาย และไม่ต้องผ่าตัดเปลี่ยนท่ออันใหม่
แพทย์จะนัดผู้ป่วยมาประเมินความคืบหน้าของอาการเป็นระยะๆ ร่วมกับปรับเปลี่ยนการระบายน้ำตามความจำเป็น ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดใส่ท่อชนิดปรับแรงดันได้ สมควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้อุปกรณ์แม่เหล็กที่มีกำลังสูง เช่น เครื่องตรวจแม่เหล็กไฟฟ้า(MRI)

ผู้ป่วยสูงอายุที่เดินไม่ได้มาเป็นเวลานานจะมีกล้ามเนื้อขาลีบและอ่อนกำลัง ถึงแม้ว่าหลังจากการผ่าตัดแล้วสมองจะสามารถส่งคำสั่งมาควบคุมขาให้เดินได้ดีแล้วก็ตาม แต่ถ้ากล้ามเนื้อขาอ่อนกำลัง การเดินที่ดีย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นการทำกายภาพบำบัดเพื่อฝึกยืน ฝึกเดิน จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยอาจต้องอดทนและทำกายภาพบำบัดต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายเดือน จึงจะเริ่มเห็นผล ปัจจุบันที่ รพ.ธนบุรี มีหุ่นยนต์ช่วยฝึกเดิน ที่จะช่วยฟื้นฟูเรื่องการเดินให้กับผู้ป่วยด้วย

 

หลังจากผ่าตัดแล้ว
การเดิน หลงลืม และปัสสาวะราด ดีขึ้นแน่นอน หรือไม่ ?
การเดินผิดปกติของผู้สูงอายุนั้น นอกจากโรคน้ำเกินในโพรงสมองแล้ว ยังอาจเกิดโรคอื่นๆได้อีก เช่น โรคพาร์กินสัน โรคเข่าเสื่อม โรคกระดูกสันหลัง เป็นต้น นอกจากนี้อาการหลงลืมและปัสสาวะราดจากโรคน้ำเกินในโพรงสมองอาจจะคล้ายคลึงกับอาการของโรคอัลไซเมอร์ และต่อมลูกหมากโต ซึ่งโรคต่างๆเหล่านี้สามารถพบได้บ่อยในผู้สูงอายุอยู่แล้ว ทำให้การวินิจฉัยภาวะน้ำเกินในโพรงสมองทำได้ลำบาก และไม่สามารถ(ฟันธง) วินิจฉัยได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ ในกรณีที่เป็นโรคน้ำเกินในโพรงสมองจริงผู้ป่วยจะมีอาการที่ดีขึ้นหลังผ่าตัด ดังนั้นเพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะผ่าตัดแล้วไม่ได้ผล แพทย์จะจัดแบ่งความเป็นไปได้ของโรคเป็น 3 ระดับ คือ
1. มีแนวโน้มเป็นโรคน้ำเกินในโพรงสมอง (Probable)
2. อาจเป็นโรคน้ำเกินในโพรงสมอง (Possible)
3. ไม่น่าเป็นโรคน้ำเกินในโพรงสมอง (Unlikely)

ในกรณีที่แพทย์คิดว่าผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มมีแนวโน้มเป็นโรคน้ำเกินในโพรงสมอง (Probable) แพทย์จะแนะนำให้ทำการผ่าตัด เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่อาการจะดีขึ้นหลังผ่าตัด
ในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มไม่น่าเป็นโรคน้ำเกินในโพรงสมอง (Unlikely) แพทย์จะไม่แนะนำให้ทำการผ่าตัด และให้เผ้าสังเกตอาการต่อไป

ส่วนในกรณีก้ำกึ่งที่อาจเป็นโรคน้ำเกินในโพรงสมอง (Possible) นั้น แพทย์มักจะแนะนำให้ทำการตรวจเพิ่มเติมโดยการทดสอบเจาะระบายน้ำจากช่องไขสันหลัง เพื่อให้ได้ข้อมูลว่าสมควรทำการผ่าตัดฝังท่อระบายน้ำต่อไปหรือไม่
การทดสอบเจาะระบายน้ำจากช่องไขสันเหลัง

คนไข้ที่ก้ำกึ่งว่าอาจเป็นโรคน้ำเกินในโพรงสมอง (Possible) แพทย์มักจะแนะนำให้ทดสอบเพิ่มเติมโดยการเจาะระบายน้ำจากไขสันหลังและประเมินดูว่าการเดิน หรือ ภาวะสมองเสื่อมดีขึ้นชั่วคราวหลังเจาะระบายน้ำหรือไม่ ถ้าพบว่ามีการตอบสนองในทางที่ดีขึ้น ก็มีแนวโน้มสูงว่าหลังผ่าตัดฝังท่อระบายน้ำเข้าสู่ช่องท้อง อาการจะดีขึ้นจริง

การเจาะระบายน้ำจากช่องไขสันหลังดังกล่าว เป็นการตรวจที่ทำได้ง่าย โดยการฉีดยาชา มีความเสี่ยงต่ำและไม่ใช่การผ่าตัด แพทย์อาจจะทำการเจาะเพียงครั้งเดียว หรือ มากกว่า 1 ครั้ง หรือ อาจจะสอดสายระบายชั่วคราว 3 วัน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของการเจาะครั้งแรก

 

ขอรับคำปรึกษาหรือนัดหมายพบแพทย์เฉพาะทาง
ศูนย์สมอง  รพ.ธนบุรี
โทร. 02-487-2000 ต่อ 7870-2

 

ผู้เขียน

นพ.ศรัณย์ นันทอารี

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมประสาท